โบสถ์ปรกโพธิ์ที่ค่ายบางกุ้ง

บันทึกนี้เขียนเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2551

เรื่องมันเริ่มจากเมื่อเดือนกันยายนปี 2551 ผมไปเที่ยวแม่กลองเนื่องในวันครบรอบวันเกิด
แล้วก็เลยเถิดลงเรือเที่ยวจากอัมพวา เรือพาชมวัดต่างๆมาจนถึงวัดบางกุ้งซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของค่ายบางกุ้งในครั้งอดีต


เขามีให้ไปล่องเรือดูหิ่งห้อย ไม่ค่อยสนเท่าไร มันมืดจะเห็นก็คงเห็นแต่หิ่งห้อย
ฝนตกพรำๆ มันจะมีให้ดูรึ เอาแน่ๆ ล่องมันกลางวันชมธรรมชชาติสองฝั่งคลองดีกว่า

อ่านเพิ่มเติม

ไปลำปาง-อ่างขาง-เชียงใหม่ เลยจับมาทำ OPV ซะเลย ^^

วันที่ 12 – 17 กันยายน 2556
มีโอกาสได้ไปเที่ยวเมืองเหนือ เยือนถิ่นล้านนา ถ่ายรูปมาก็เยอะ
กะว่าจะเอามาทำเป็นบล็อก ก็ทำไปได้แค่ 3-4 บล็อก เยอะมากจนทำไม่ไหว
เอาไงดี คิดไปคิดมา ไปเจอเพลงของคุณเจี้ยบ วรรธณา ก็เอามาประกอบเพลงทำ OPV เล่นๆดู

อยากจะบอกว่า โครงการหลวงดอยอ่างขางสวยมาก เมืองเหนือก็สวยมากทั้งลำปางและเชียงใหม่ อยากชวนให้ไปเที่ยวกันครับ

 

 

สำหรับทริปที่ผมไปมานี้ ผมได้นำสถานที่ต่างๆในลำปางมาทำบล็อกไปแล้ว 4 แห่งครับ

  1. วัดศรีชุม-ลำปาง วัดพม่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
  2. หอปูมละกอน พิพิธภัณท์ที่เล่าเรื่องความเป็นมาของเมืองลำปาง
  3. เงาพระธาตุกลับหัวอีกแห่งที่วัดพระธาตุจอมปิง
  4. ไหว้พระธาตุปีฉลูดูเงาพระธาตุที่วัดพระธาตุลำปางหลวง

 

วัดศรีชุม-ลำปาง วัดพม่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

12 กันยายน 2556

วันนี้พวกเราขับรถจากกรุงเทพฯ มาถึงเมืองลำปางเร็วกว่าที่คิดไว้มาก เราจึงขับรถตระเวณเมืองลำปาง พอกางแผนที่ที่ได้รับมาจากศูนย์ท่องเที่ยวลำปางก็พบว่าในเมืองลำปางนี้ น่าจะมาแวะที่วัดศรีชุมเสียก่อนเพราะใกล้จุดที่เราพัก ไม่รอช้าคิดได้แล้วก็เลี้ยวรถไปตามแผนที่ ไม่ถึง 10นาทีก็มาถึงวัดศรีชุม

ในบรรดาวัดพม่าที่มีอยู่ในประเทศไทย 31 วัดนั้น วัดศรีชุมเป็นวัดพม่าที่ใหญ่ที่สุด สร้างในปี พ.ศ. 2433 โดยคหบดีพม่าชื่อ อูโย ซึ่งติดตามชาวอังกฤษเข้ามาทำงานป่าไม้ในประเทศไทย เมื่อตนเองมีฐานะดีขึ้นจึงต้องการทำบุญโดยสร้างวัดศรีชุมขึ้นในตำบลสวนดอก ซึ่งจริงๆแล้วเป็นการบูรณะวัดที่มีอยู่เดิม เพราะเดิมนั้นวัดศรีชุมก็เคยเป็นวัดมาก่อน แต่เป็นวัดเล็กๆมีเพียงศาลา บ่อน้ำ และต้นโพธิ์เท่านั้น

วัดศรีชุม

วัดศรีชุม

อ่านเพิ่มเติม

เงาพระธาตุกลับหัวอีกแห่งที่วัดพระธาตุจอมปิง

12 กันยายน 2556
หลายท่านคงเคยได้ยินเรื่องเงาพระธาตุกลับหัว ที่ปรากฏในวิหารหลังเล็ก(ซุ้มพระบาท)ของวัดพระธาตุลำปางหลวงมาบ้างแล้ว ซึ่งภาพที่เกิดขึ้นแน่นอนว่าเป็นการหักเหของแสงผ่านช่องเล็กๆหลักการเดียวกับกล้องรูเข็ม และหลายคนก็เข้าใจว่าเงาพระธาตุกลับหัวมีที่วัดพระธาตุลำปางหลวงเท่านั้น แต่จริงๆแล้ว ยังมีอีกหลายวัดที่มีปรากฏการณ์เงาพระธาตุกลับหัวครับ และวัดพระธาตุจอมปิงก็เป็นหนึ่งในวัดที่มีเงาพระธาตุกลับหัวเช่นกัน และยังไม่หวงห้ามคุณสุภาพสตรีเข้าชมอีกด้วย
บันไดนาคทางเข้าวัดพระธาตุจอมปิง

บันไดนาคทางเข้าวัดพระธาตุจอมปิง

อ่านเพิ่มเติม

ไหว้พระธาตุปีฉลูดูเงาพระธาตุที่วัดพระธาตุลำปางหลวง

12-SEP-2013 นักท่องเที่ยวทุกคนที่มีโอกาสมาเยือนลำปาง สถานที่แรกที่มักจะนึกถึงก็คือวัดพระธาตุลำปางหลวง เนื่องจากวัดพระธาตุลำปางหลวงเป็นวัดที่เก่าแก่ มีประวัติความเป็นมายาวนาน มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่แสดงความเป็นล้านนาอย่างเด่นชัดที่สุดวัดหนึ่ง องค์พระธาตุ(ที่ชาวภาคกลางเรียกเจดีย์)ก็ยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนที่เกิดปีฉลู และนอกจากนั้น ยังมีเงาพระธาตุในซุ้มพระบาท เป็นหนึ่งใน Unseen Thailand ให้ได้ชมกันอีกด้วย
วัดพระธาตุลำปางหลวง

บันไดนาคทางเข้าวัดพระธาตุลำปางหลวง

อ่านเพิ่มเติม

พาเที่ยววัดในกรุงเทพฯ (๖) – วัดอรุณราชวราราม

บล้อกนี้เขียนเอาไว้เมื่อเดือน พฤศจิกายน ปี 2008
ออกจากวัดกัลยาณมิตร ขี่แมงกะไซค์คู่ใจมาตามถนนอรุณ-อมรินทร์ไม่นานนัก ผมก็มาถึงวัดอรุณฯครับ สำหรับวัดนี้ เป็นวัดหลวงสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มาดูประวัติจาก http://th.wikipedia.org สักนิดนะครับ
[ประวัติ]
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารวัดอรุณราชวรารามเป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา
ว่ากันว่าเดิมเรียกว่า วัดมะกอก และกลายเป็นวัดมะกอกนอกในเวลาต่อมา
เพราะได้มีการสร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่งในตำบลเดียวกันแต่อยู่ในคลองบางกอกใหญ่
ชาวบ้านเรียกวัดที่สร้างใหม่ว่า วัดมะกอกใน (วัดนวลนรดิศ) แล้วจึงเรียกวัดมะกอกซึ่งอยู่ปากคลอง
บางกอกใหญ่ว่า วัดมะกอกนอก ส่วนเหตุที่มีการเปลี่ยนชื่อเป็นวัดแจ้งนั้นเชื่อกันว่า
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งราชธานีที่กรุงธนบุรีใน พ.ศ. 2310 ได้เสด็จมาถึงหน้าวัดนี้
ตอนรุ่งแจ้ง จึงพระราชทานชื่อใหม่ว่าวัดแจ้ง แต่ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้อง เพราะเพลงยาวหม่อมภิมเสน
วรรณกรรมสมัยอยุธยาที่บรรยายการเดินทางจากอยุธยาไปยังเพชรบุรี ได้ระบุชื่อวัดนี้ไว้ว่าชื่อวัดแจ้งตั้งแต่เวลานั้นแล้ว

เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังที่ประทับนั้น ทรงเอาป้อมวิชัยประสิทธิ์
ข้างฝั่งตะวันตกเป็นที่ตั้งตัวพระราชวัง แล้วขยายเขตพระราชฐานจนวัดแจ้งเป็นวัดภายในพระราชวัง
เช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์สมัยอยุธยา และเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์
ใน พ.ศ. 2322 ก่อนที่จะย้ายมาประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามใน พ.ศ. 2327

ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้เสด็จมาประทับที่พระราชวังเดิม และได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดแจ้งใหม่ทั้งวัด
แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็สิ้นรัชกาลที่ 1 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้งต่อมา
และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดอรุณราชธาราม” ต่อมามีพระราชดำริที่จะเสริมสร้างพระปรางค์หน้าวัดให้สูงขึ้น
แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เสริมพระปรางค์ขึ้น
และให้ยืมมงกุฎที่หล่อสำหรับพระพุทธรูปทรงเครื่องที่จะเป็นพระประธานวัดนางนองมาติดต่อบนยอดนภศูล
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณราชธารามหลายรายการ
และให้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาบรรจุไว้ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธาน
ในพระอุโบสถด้วย เมื่อการปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นลง พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดอรุณราชวราราม”

เอารถไปจอดแอบข้างกุฏิพระเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าชมความงามในวัดกันเลยครับ

พูดถึงวัดอรุณฯก็ต้องมาดูพระปรางค์วัดอรุณสิครับ ก่อนจะเดินขึ้นก็พบกับอาแปะใจดียืนยิ้มอยู่หน้าพระปรางค์
ผมเลยขอถ่ายรูปสัก 1 รูปครับ อาแปะน่าจะยืนเฝ้าพระปรางค์ยิ้มต้อนรับทุกคนที่เข้ามาที่นี่มานานแล้ว

อ่านเพิ่มเติม

เที่ยวตลาดโก้งโค้ง กราบพระวัดพนัญเชิง นมัสการเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล


วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลา 51 คิดว่าจะไปไหว้หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง
ก็เลยวิ่งรถเลียบแม่น้ำ(อีกแล้ว) ลัดเลาะไปตามทางผ่านศูนย์ศิลปาชีพบางไทร
ใกล้จะถึงวัดแล้ว เจอตลาดโก้งโค้ง ชื่อแปลกดี คุ้นๆว่าเคยดูใน TV
แต่ยังไม่เคยแวะเลยสักที คราวนี้แวะสักหน่อยดีกว่า

อ่านเพิ่มเติม

พาเที่ยววัดในกรุงเทพฯ (๕) – วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร

คืนวันก่อนที่ไปงานวัดภูเขาทอง ส่องกล้องลงมาเห็นหลังคาโบสถ์ของวัดกัลยาณมิตร
ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี ดังนั้นหลังจากที่ไปแวะเวียนวัดหลวงต่างๆที่อยู่
ทางฝั่งพระนครหลายวัดแล้ว ก็คงต้องย้อนกลับมาฝั่งธนบุรีบ้านเกิดของผมกันบ้าง
ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว วัดทางฝั่งธนฯนี้ ก็มีความสวยงามและประวัติความเป็นมาเก่าแก่ไม่แพ้กันครับ

วัดกัลยาณมิตรนี้ เป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อซำปอกง หรือ พระพุทธไตรรัตนายก
องค์เดียวกับหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงที่กรุงเก่าอยุธยา สังเกตุได้จากหลังคาโบสถ์ที่สูงใหญ่
คล้ายกันกับที่อยุธยา ลักษณะหลังคาโบสถ์แบบนี้ ถ้าเห็นที่วัดไหน สัณนิษฐาณได้เลยครับ
ว่าพระประฐานในโบสถ์ต้องมีขนาดใหญ่โตไม่ธรรมดาแน่ๆ

เมื่อครั้งที่ผมยังเด็กประถม ผมเรียนที่โรงเรียนซางตาครู้สศึกษา ซึ่งอยู่ใกล้กับวัดกัลยาฯแห่งนี้
พอมาเห็นหลังคาโบสถ์จากพระบรมบรรพต ภูเขาทอง ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงวันเก่าๆ

มาดูประวัติของวัดนี้กันสักนิดนะครับ (ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org)

[ประวัติ] วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร

เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต) ต้นสกุลกัลยาณมิตร ว่าที่สมุหนายก ได้อุทิศบ้านและที่ดินบริเวณใกล้เคียง
ซึ่งแต่เดิมเป็นหมู่บ้านที่มีภิกษุจีนพำนักอยู่ และเรียกกันต่อมาว่า “หมู่บ้านกุฎีจีน” สร้างเป็นวัดขึ้นเมื่อ
พ.ศ. ๒๓๖๘ และน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พระราชทานนามว่า “วัดกัลยาณมิตร”
และทรงสร้างพระวิหารหลวงและพระประธานพระราชทาน เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ชื่อ
พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโต ด้วยมีพระประสงค์จะให้เหมือนกรุงเก่า
คือมีพระโตอยู่นอกกำแพงเมือง อย่างเช่นวัดพนัญเชิง

หลวงพ่อโตเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูง โดยเฉพาะในหมู่ชาวจีน เรียกชื่อแบบจีนว่า
ซำปอฮุดกง หรือ ซำปอกง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๕ วา ๓ ศอกคืบ
สูง ๗ วา ๒ ศอกคืบ ๑๐ นิ้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้สร้างพระราชทาน
ช่วยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ เสด็จก่อพระฤกษ์เมื่อ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๘๐
อยู่ภายในพระวิหารขนาดใหญ่อยู่กลางวัด ตรงกลางระหว่างวิหารเล็กและพระอุโบสถ

พระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ (ป่าเลไลย์) ซึ่งรัชกาลที่ ๓
ทรงสร้างพระราชทาน เป็นวัดเดียวในประเทศไทยที่มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์
ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงพุทธประวัติ และแสดงชีวิตชาวบ้านในสมัยรัชกาลที่ ๓
และยังมีหอพระธรรมมณเฑียรเถลิงพระเกียรติ เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกสมัยรัชกาลที่ ๔
หน้าวิหารหลวงเป็นหอระฆังที่เพิ่งสร้างใหม่ เก็บระฆังยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

และก็เช่นเคยครับ พาหนะคู่ใจสำหรับการท่องเที่ยวกรุงเทพฯของผมก็คือแมงกะไซค์คันน้อย
หาที่จอดง่ายและฝ่าการจราจรหฤโหดในกรุงเทพฯดีนัก (รู้งี้น่าจะซื้อมาใช้ตั้งนานแล้ว)
มาถึงวัดก็หาที่ร่มๆจอด เจอที่เหมาะๆก็ใต้ต้นไม้ริมท่าน้ำ ก็อย่างที่ได้เกริ่นไว้ก่อนแล้วว่า
วัดนี้อยู่ริมน้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี หากท่านมองมายังพระปรางค์วัดอรุณฯ จากฝั่งพระนคร
หรือมองจากสะพานพุทธฯ แล้วมองต่อไปทางซ้าย จะเห็นวัดหนึ่งที่มีโบสถ์ใหญ่สูงตระหง่าน
นั่นละครับวัดกัลยาณมิตร


มองข้ามฝั่งไปเห็นโรงเรียนราชินี อาคารทรงยุโรปย้อนยุค


มองไปอีกทางหนึ่งเป็นสะพานพุทธ


ที่นี่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน แต่ทางเข้าโบสถ์ทรุดโทรมจนน่าเสียดาย



ด้านหน้าพระอุโบสถ

จุดธูปนมัสการเจ้าพ่อซำปอกงที่ด้านหน้าพระอุโบสถ มีกระถางธูปให้ปักอยู่ถึง 5 แห่ง
และจากการสอบถามผู้ที่มานมัสการอยู่ก่อน ได้ความว่า การปักธูปให้เรียงลำดับดังนี้
1. กระถางใหญ่ที่มีภาษาจีนสีแดง
2. กระถางหน้า ทางซ้าย
3. กระถางหน้า ตรงกลาง
4. กระถางหน้า ทางขวา
5. กระถางหลังสุด
ปักธูปแห่งละ 3 ดอก รวมทั้งหมด 15 ดอกพอดี
โดยทางวัดจัดธูปเทียนเป็นชุดพอดีไว้เรียบร้อยแล้ว


พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อซำปอกง


กำปั่นโบราณของเจ้าสัวโต (เจ้าพระยานิกรบดินทร์) ผู้สร้างวัด


บานประตูสูงมาก สมกับความสูงของโบสถ์


ออกจากโบสถ์มา มองไปทางซ้าย เห็นระฆังใบใหญ่สะดุดตาแขวนอยู่

เข้าไปถ่ายใกล้ๆ เห็นประวัติอยู่บนระฆัง น่าสนใจดีครับ
อ่านแล้วทำให้ทราบว่าในสมัยนั้น การหล่อระฆังใหญ่ขนาดนี้
จำเป็นต้องว่าจ้างบริษัทญี่ปุ่นหล่อระฆังให้ และจากข้อมูล wikipedia
ระฆังใบนี้ เป็นระฆังที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
จากวัดกัลยาณมิตร มองไปไม่ไกลก็จะเห็นพระปรางค์วัดอรุณ
เราสองคนก็ไม่รอช้า พาแมงกะไซคันเก่งออกจากซอยวัด
เลี้ยวไปตามถนนอรุณ-อมรินทร์ ไม่นานนักก็ถึงวัดอรุณแล้วครับ

รวมหัวข้อพาเที่ยววัดในกรุงเทพฯ