เป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เดิมใช้ชื่อว่า “วัดห้วยคต” ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านห้วยคต ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานนามใหม่จากห้วยคตเป็นห้วยมงคล
และโครงการต่างๆก็ดำเนินไปได้ด้วยดี เพราะมีส่วนราชการให้การดูแล รวมทั้งทรงอุปถัมภ์วัดห้วยมงคลไว้ให้เป็นที่พึ่งทางใจสำหรับชาวบ้านต่อมาพระครูปภัสรวรพินิจ หรือพระอาจารย์ไพโรจน์ ปภัสสโร เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคลองค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นพระนักพัฒนาที่มีศีลจารวัตที่ดีงาม เป็นที่เคารพของคนในชุมชนบ้านห้วยมงคลและพลเอกวิเศษ คงอุทัยกุลรองสมุหราชองครักษ์ได้มีดำริที่จะสร้าง “หลวงพ่อทวด” องค์ใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ รวมทั้งเผยแพร่และสืบทอดพระพุทธศาสนาอีกทั้งให้เป็นที่เคารพสักการบูชาและเป็นที่พึ่งทางใจของเหล่าพุทธศาสนิกชนด้วยเรื่องราวปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) ที่พุทธศาสนิกชนในภาคใต้ให้ความเคารพเลื่อมใสมาเป็นเวลานาน และรู้จักกันเป็นอย่างดี จึงก่อเกิดการร่วมมือร่วมใจจากหลายองค์กร ทั้งทางภาครัฐและเอกชน ในการสร้างประติมากรรมองค์จำลองหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลกโดยกาลนี้สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร เททองหล่อองค์หลวงพ่อทวด เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2547 และพระราชทานพระราชานุญาต ให้คณะกรรมการจัดสร้างอันเชิญพระนามาภิไธยย่อ ส.ก. ขึ้นประดิษฐานที่หน้าองค์รูปหล่อองค์หลวงพ่อทวดบัดนี้รูปหล่อหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งหล่อด้วยโลหะผสม หน้าตักกว้าง 9.9 เมตร สูง 11.5 เมตร บนฐานสูง 3 ชั้น ชั้นล่างกว้าง 70 เมตร ยาว 70 เมตร ได้จัดสร้างเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย พร้อมที่จะให้พุทธศาสนิกชนทั่วทั้งประเทศได้เดินทางมานมัสการกราบไหว้ เคารพสักการะ ด้วยเส้นทางที่สะดวกต่อการคมนาคม
ไม้แกะสลัก หลวงพ่อทวดขี่ช้างเอราวัณสามเศียรหกงา กำลังถ่ายอยู่ก็พอดีว่า
เห็นพี่คนนี้จุดดอกไม้ธูปเทียนเดินลอดท้องช้างเอราวัณ เลยพักการถ่ายรูปก่อนครับ ไปเดินลอดบ้างครับ
สำหรับ ประวัติของหลวงพ่อทวด ผมคัดลอกมาจากเว็บไซต์อื่นครับ
ประวัติหลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
“หลวงพ่อทวด” หรือ “สมเด็จพะโค๊ะ” มีนามเดิมว่าปู เป็นบุตรนายหู นางจัน วัน เดือน ปี เกิดของเด็กชายปู
บ้างว่าเป็นเดือน 4 ปีมะโรง ตรงกับ พ.ศ. 2125 บ้างว่าปี พ.ศ. 990 ฉลู สัมฤทธิศก บ้างว่า พ.ศ. 2131
โดยอนุมาน เข้าใจว่าคงเป็นปลายสมัยมหาธรรมราชา อาจเป็นปี พ.ศ. 2125 หรือ 2131
ตอนเด็กชายปูยังเป็นทารก มีเรื่องเล่าเป็นปฏิหาริย์เอาไว้ว่าหลังจากนางจันเลิกอยู่ไฟก็ออกเกี่ยวข้าวทันที
วันหนึ่งนางไปเก็บข้าวก็เอาบุตรให้นอนในเปลใต้ต้นหว้างูบองสลาขึ้นมานอนบนเปลนั้น มารดา บิดาเห็นตกใจ
งูก็เลื้อยหายไป แต่ได้คายแก้ววิเศษเอาไว้ให้ เมื่อเด็กชายปูอายุได้ 7 ขวบ บิดาได้นำไปฝากกับท่านสมภารจวง
ซึ่งเป็นพี่ชายของนางจันผู้เป็นมารดา (หลวงลุง) วัดกุฏิหลวง (วัดดีหลวง) เพื่อให้เล่าเรียนหนังสือ
เด็กชายปูมีความเฉลียวฉลาดมากสามารถเรียนหนังสือขอมและไทยได้อย่างรวดเร็ว ครั้นอายุได้ 10 ขวบ
ก็บวชเป็นสามเณรและบิดาได้มอบแก้ววิเศษให้เป็นของประจำตัว ต่อมาสามเณรปูได้ไปศึกษาต่อกับพระชินเสน
ที่วัดสีหยัง (สีคูยัง) ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงมากมาจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อได้อายุ 20 ปีบริบูรณ์
ได้เดินทางไปศึกษาต่อที่นครศรีธรรมราช ณ สำนักพระมหาเถระปิยทัสสี ต่อมาก็ได้เข้ารับการอุปสมบท
มีฉายาว่า “ราโมธมฺมิโก” แต่คนทั่วไปเรียกว่า “เจ้าสามีราม” เจ้าสามีรามได้ศึกษาอยู่ที่วัดท่าแพ วัดสีมาเมือง
และวัดอื่นๆอีกหลายวัด
เมื่อเห็นว่าการศึกษาที่นครศรีธรรมราชเพียงพอ จึงได้ขอโดยสารเรือสำเภาเดินทางไปกรุงศรีอยุธยา
ขณะเดินทางถึงเมืองชุมพรเกิดคลื่นลมทะเลปั่นป่วน เรือไม่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมไปได้ ต้องทอดสมออยู่ถึง 7 วัน
ทำให้เสบียงอาหารและน้ำหมด บรรดาลูกเรือจึงตั้งข้อสงสัยว่าการที่เกิดอาเพศในครั้งนี้เป็นเพราะเจ้าสามีราม
จึงตกลงใจส่งเจ้าสามีรามขึ้นเกาะ ได้นิมนต์ให้เจ้าสามีรามลงเรือมาดขณะที่นั่งอยู่ในเรือมาดนั้น
ท่านได้ห้อยเท้าแช่ลงไปในน้ำทะเลก็บังเกิดอัศจรรย์น้ำทะเลบริเวณนั้นเป็นประกายแวววาวโชติช่วงเจ้าสามีราม
จึงบอกให้ลูกเรือตักน้ำขึ้นมาดื่มก็รู้สึกว่าเป็นน้ำจืดจึงช่วงกันตักไว้จนเพียงพอ นายสำเภาจึงนิมนต์ให้ขึ้นสำเภาอีก
และตั้งแต่นั้นเจ้าสามีรามเป็นชีต้น หรืออาจารย์ของเจ้าสำเภาอิน สืบมา
อภินิหารที่ท่านสามีรามเหยียบน้ำทะเลจืดเป็นที่โจษขานมาถึงบัดนี้และเหตุการณ์ตอนนี้เล่าเสริมพิสดารขึ้นว่า
ตอนแรกนายอินเชื่อมั่นว่าพระสามีรามเป็นกาลกิณีเรือจึงต้องพายุเพราะก่อนมาไม่เคยเป็น
เมื่อคลื่นลมสงบจึงคิดจะเอาเจ้าสามีรามปล่อยเกาะ แต่ครั้นเห็นปาฏิหาริย์จึงขอขมาโทษ
ในยุคนี้และสมัยนี้ เกือบจะไม่มีชาวไทยคนใดเลย ที่จะไม่เคยได้ยินชื่อหรือได้ฟังกิติศัพท์เล่าลือเกี่ยวกับ
ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ความศักดิ์สิทธิ์อันนี้ บ้างก็เป็นเรื่องของความคลาดแคล้ว
จากอุบัติเหตุสยองจากไฟไหม้หรือจากภัยพิบัติ นานัปการ และหลวงพ่อทวดมิใช่จะคุ้มครองเฉพาะด้านอุบัติเหตุเท่านั้น
แม้แต่ในทางโชคลาภ ก็ให้ผลอย่างดีที่สุด ดังที่ได้ประจักษ์แก่ผู้เลื่อมใสมาแล้ว
ถ้ามีโอกาสได้ไปหัวหิน ก่อนกลับ ไปไหว้พระที่วัดห้วยมงคล สักการะหลวงพ่อทวด
เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนกลับบ้านก็จะดีไม่น้อยเลยครับ